การทำนาข้าวไร้สารพิษ
ข้าว เป็นเมล็ดของพืชหญ้า Oryza sativa (ชื่อสามัญ: ข้าวเอเชีย) ที่พบมากในทวีปเอเชีย ข้าวเป็นธัญพืชซึ่งประชากรโลกบริโภคเป็นอาหารสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย จากข้อมูลเมื่อปี 2553 ข้าวเป็นธัญพืชซึ่งมีการปลูกมากที่สุดเป็นอันดับสามทั่วโลก รองจากข้าวสาลีและข้าวโพด
ข้าวเป็นธัญพืชสำคัญที่สุดในด้านโภชนาการและการได้รับแคลอรีของมนุษย์ เพราะข้าวโพดส่วนใหญ่ปลูกเพื่อจุดประสงค์อื่น มิใช่ให้มนุษย์บริโภค ทั้งนี้ ข้าวคิดเป็นพลังงานกว่าหนึ่งในห้าที่มนุษย์ทั่วโลกบริโภค
หลักการทำนาข้าวไร้สารพิษ จะแบ่งเป็นขั้นตอน ได้ 6 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ย่อยฟางและตอซังให้เป็นปุ๋ย
หลังการเก็บเกี่ยวอย่าเผาฟาง ตอซัง หรือหญ้า (เพราะจะเป็นการทำลายหน้าดินและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน) ปล่อยน้ำเข้านาให้ได้ระดับความลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร โดยใช้เอ็นไซม์ (ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ) หยดไปกับน้ำในอัตราไร่ละ 1 ลิตร ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-7 วัน เอ็นไซม์จะกระตุ้นจุลินทรีย์ในดินให้ทำการย่อยฟางให้สลายตัว สังเกตได้โดยเมื่อหยิบฟางขึ้นดูจะพบว่าฟางเปื่อยยุ่ยกลายเป็นปุ๋ยอย่างดีนอกจากนี้การหมักฟางยังให้ประโยชน์อีกหลายประการ คือ
– ได้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพจากฟางข้าว ซึ่งช่วยปรับสภาพโครงสร้างดินให้ร่วนซุยและฟูขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
– เมื่อฟางย่อยสลายดีแล้วก็สามารถทำเทือกหว่าน หรือปักดำได้ทันทีโดยไม่ต้องไถคราดทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
– สามารถปรับค่าความเป็น กรด-ด่าง ในดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการทำนาข้าว คือ ประมาณ pH 6.5

ขั้นที่ 2 ทุบทำเทือก
หลังจากฟางย่อยสลายดีแล้ว หากมีน้ำขังหรือมีความชื้นมากพอก็สามารถทุบเทือกได้ทันที และควรคราดพื้นที่นาให้มีความเสมอกันเพื่อที่จะสามารถควบคุมระดับน้ำได้ดีนอกจากนั้นยังสามารถควบคุมวัชพืชได้ทั้งยังทำให้การงอกของต้นข้าวเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ สะดวกต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ปุ๋ยและการเก็บเกี่ยวผลผลิต ถ้าพื้นที่ไม่เรียบมีน้ำขังอาจทำให้เมล็ดข้าวที่แช่น้ำเน่าเสียหายได้
– เมื่อฟางเปื่อยยุ่ยได้ที่ดีแล้ว ก็ทำการทุบโดยไม่ต้องไถ เพราะตอซัง เศษฟางและดินจะเปื่อย นิ่ม ร่วนซุย
– เมื่อฟางเปื่อยยุ่ยได้ที่ดีแล้ว ก็ทำการทุบโดยไม่ต้องไถ เพราะตอซัง เศษฟางและดินจะเปื่อยระดับน้ำและควบคุมวัชพืชได้อีกด้วย
ขั้นที่ 3 การเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับเพาะปลูก
ก่อนการหว่านหรือการปักดำ ควรนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่คัดไว้มาแช่หรือคลุกกับเอ็นไซม์(ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการขับไล่หรือกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช) ทิ้งไว้1 คืนก่อนนำไปหว่านเพื่อป้องกันโรคพืชและแมลงศัตรูพืชรบกวน อีกทั้งยังทำให้อัตราการงอกสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นยังช่วยให้ใช้เวลาในการเพาะต้นกล้าสั้นลง และต้นกล้าที่ได้ก็สมบูรณ์แข็งแรง ง่ายต่อการย้ายกล้าและต้นกล้าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว
ขั้นที่ 4 การหว่านกล้าและการดำนา
หลังจากได้เมล็ดพันธุ์ที่คัดเลือกแล้วก็ทำการหว่านเมล็ดลงในแปลงเพาะที่เตรียมไว้โดยอาจแบ่งจากที่นาประมาณ 1งาน เพื่อทำการตกกล้าการตกกล้าจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 1 ถังครึ่ง ต่อแปลงเพาะขนาด 1 งาน จะได้ต้นกล้าที่นำไปปักดำได้ประมาณ 5ไร่และเมื่อต้นกล้าเริ่มขึ้นควรให้เอ็นไซม์(ปุ๋ยน้ำหมักสมุนไพรอินทรีย์ชีวภาพ) ในปริมาณ 1 ลิตรต่อ1 ไร่ หยดไปกับน้ำ หรือฉีดพ่นโดยผสมเอ็นไซม์1 ลิตรต่อน้ำ 400 ลิตร เมื่อต้นกล้าอายุได้ประมาณ 30 วัน ก็สามารถนำไปปักดำได้โดยต้องตัดใบออกให้เหลือความยาวจากรากประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อลดการคายน้ำและทำให้ต้นข้าวฟื้นตัวเร็ว
ในกรณีที่เป็นนาหว่าน หลังจากทุบทำเทือกเรียบร้อยแล้วใช้เมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ถังครึ่ง ต่อนา 1 ไร่ การหว่านควรหว่านให้กระจายทั่วทั้งแปลง และไม่ควรใช้เมล็ดพันธุ์มากเกินไปเพราะจะทำให้ต้นข้าวขึ้นหนาแน่นเกินไป และจะทำให้ต้นข้าวแคระแกรน สิ้นเปลืองต้นทุนเพิ่มขึ้นเพราะจะต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มมากขึ้น
ขั้นที่ 5 ให้อาหารดินเพื่อบำรุงดินและเร่งจุลินทรีย์ในดิน
หลังปักดำหรือหว่านเมล็ดแล้ว10-15วัน ควรให้ปุ๋ยหมักแห้งอินทรีย์ชีวภาพ หรือฉีดพ่นด้วยปุ๋ยน้ำหมัก น้ำหมักอินทรีย์ชีวภาพเพื่อเร่งรากและสร้างอาหารธรรมชาติให้เพียงพอต่อความต้องการของต้นกล้า โดยจุลินทรีย์ในดินจะช่วยย่อยดิน ทราย และสารอาหารในดินป้อนให้แก่รากกล้าซึ่งจะส่งผลให้
– รากลึกเร่งการแตกรากของข้าวได้มากและยาวทำให้ต้นข้าวแข็งแรงกอมีขนาดใหญ่แน่น แข็งแรงหาอาหารได้ดีมีภูมิต้านทานโรคสูง โรคและแมลงจึงไม่รบกวน เมื่อข้าวออกรวงเต็มที่ต้นจะไม่ล้ม
– ข้าวแตกกอได้มาก ทรงพุ่มตั้งตรงลำต้นแกร่ง เหนียว ใบแข็งแรงตั้งตรงรับแสงได้ดีทำให้สังเคราะห์แสงและปรุงอาหารได้ดีโดยสีของใบจะเป็นสีเขียวนวล (ไม่ใช่สีเขียวเข้มเหมือนใช้ปุ๋ยเคมี) โดยสีของใบจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงและปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด
– ใบตั้งตรง (ไม่โค้งปก)
– สามารถรับแสงได้ตลอดทั้งวัน
– สามารถรับแสงได้ตลอดทั้งวัน
– มีภูมิต้านทานต่อโรคพืชและแมลงศัตรูพืชสูง ถึงแม้ว่าจะมีแมลงกัดกินใบบ้าง
ขั้นที่ 6 บำรุงดิน เร่งจุลินทรีย์ก่อนข้าวตั้งท้อง
ก่อนข้าวตั้งท้องประมาณ 15 วัน ควรบำรุงดินด้วยปุ๋ยหมักแห้งอินทรีย์ชีวภาพและปุ๋ยน้ำหมัก
อินทรีย์ชีวภาพเพื่อกระตุ้นการทำงานของจุลินทรีย์ในดินให้เร่งย่อยสลายและสำรองอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของต้นข้าวในขณะตั้งท้องและเมื่ออาหารเพียงพอ ต้นข้าวจะมีลำต้นอวบใหญ่ ปล้องยาวใหญ่พร้อมอุ้มท้องและเมื่อข้าวตั้งท้องก็จะได้ข้าวที่ท้องอวบยาว ส่งผลให้รวงยาวใหญ่ เมล็ดมีขนาดสม่ำเสมอมีจำนวนเมล็ดมาก (250-350 เมล็ดต่อ 1 รวง) เมล็ดข้าวเต็มโครง (ไม่มีเมล็ดลีบ) เมล็ดใส (ไม่มีท้องไข่ปลา) รสชาติดีมีกลิ่นหอม น้ำหนักดี(ถังละ 11.5-12.0 กิโลกรัม) ผลผลิตได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของตลาดราคาสูง นอกจากทำให้ต้นข้าวแข็งแรงแล้ว การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพยังช่วยฟื้นฟูดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดินดำร่วนซุย ปรับค่าความเป็นกรด-ด่างให้เหมาะสม อาหารตามธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากจุลินทรีย์ในดินทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมีลงจึงประหยัดต้นทุนมากขึ้นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างดินจากเดิมเป็นดินที่เสื่อมโทรมเพราะผ่านการใช้สารเคมีมาอย่างหนักและหลังจากเปลี่ยนมาทำนาแบบชีวภาพโดยการไม่เผาฟางและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพโครงสร้างดินจึงค่อยๆ ดีขึ้น
ที่มา : ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จังหวัดชลบุรี